รถถังของเยอรมัน สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
Panzer II
Panzer II เป็นรถถังขนาดเล็ก ติดอาวุธเพียงปืนใหญ่ขนาด 20 มม. ความตั้งใจในการออกแบบครั้งแรก เพียงเพื่อเป็นรถถังสำหรับฝึกพลประจำรถถัง (training tank) แต่เนื่องจากความล่าช้าในสายการผลิตของ Panzer III และ Panzer IV ทำให้รถถังรุ่นนี้ต้องออกปฏิบัติงานในแนวหน้าอยู่ตลอดเวลา Panzer II เริ่มเข้าประจำการในกองทัพเยอรมันในปี 1936 หรือ 4 ปีก่อนสงครามโลกจะระเบิดขึ้น บางส่วนของรถถังรุ่นนี้ ได้มีโอกาสเข้าร่วมในสงครามกลางเมืองในประเทศสเปน ที่ฮิตเลอร์สนับสนุนฝ่ายขวาของ นายพลฟรังโก กล่าวกันว่า การเข้าร่วมสงครามกลางเมืองในสเปน ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในนามกองกำลังคอนดอร์ (Condor Legion) เป็นการฝึกฝนทหารนาซีเยอรมัน ให้มีประสบการณ์ในการรบ ซึ่งก็รวมทั้งพลประจำรถถัง Panzer II ด้วย ที่สามารถนำความรู้และประสบการณ์จริงมาใช้เป็นบทเรียน และเป็นกำลังหลักของหน่วย Panzer ในการรุกแบบสายฟ้าแลบ ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
Panzer II รุ่นแรกเป็นรุ่น D และ E และยังคงมีการปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากการขาดแคลนรถถังรุ่นที่หนักกว่าในกองทัพเยอรมัน รถถังรุ่นนี้มีบทบาทอย่างมากในสมรภูมิแอฟริกา ภายใต้การนำของจอมพล เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) มันจะปรากฏอยู่ในแนวหน้าเสมอ สายการผลิตของ Panzer II ยังคงมีอยู่จนถึงปี 1943 ทั้งๆที่รถถังรุ่นนี้ล้าสมัยเกินไปแล้ว มันไม่สามารถหยุดยั้งรถถังรุ่นใหม่ของฝ่ายสัมพันธมิตรและรัสเซียได้อีกต่อไป ดังนั้นภารกิจของ Panzer II จึงเน้นในรูปของการลาดตระเวณหาข่าว ด้วยเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ (reliable) ความเร็วและความคล่องตัวสูง จำนวนที่ผลิตออกมาอย่างท่วมท้น ในช่วงปี 1940 – 1942 ซึ่งเป็นช่วงแห่งชัยชนะของนาซีเยอรมัน จึงทำให้รถถังรุ่oนี้ปรากฏอยู่ในแนวหน้ามาโดยตลอด
นอกจากข้อจำกัดเรื่องขนาดที่เล็กแล้ว อาวุธที่ติดตั้งกับรถถังรุ่นนี้ก็เป็นขีดจำกัดด้วยเช่นกัน มันถูกออกแบบให้ติดตั้งปืนใหญ่ขนาดเพียง 20 มม. ที่ไม่มีอำนาจหยุดยั้งรถถังของศัตรูได้ รวมทั้งมีเกราะที่บางเกินไป ที่จะป้องกันตัวเอง ต่อมาได้มีความพยายามนำตัวถังรถ Panzer II มาปรับปรุงด้วยการเป็นปืนใหญ่อัตตาจร ติดตั้งปืนใหญ่ 105 มม. ในชื่อใหม่คือ Marder II และ Wespe บางคันถูกนำมาปรับปรุงเป็นรถถังติดเครื่องพ่นไฟในชื่อ Flamingo หรือไม่ก็ถูกดัดแปลงให้เป็นรถวางสะพานของทหารช่างเยอรมัน
บทบาทของ Panzer II เป็นตัวอย่างที่ดีของความชาญฉลาดของนาซีเยอรมัน ที่สามารถนำยานเกราะที่ล้าสมัย มาดัดแปลง และคงบทบาทที่สำคัญในแนวหน้า จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
Panzer II รุ่นแรกเป็นรุ่น D และ E และยังคงมีการปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากการขาดแคลนรถถังรุ่นที่หนักกว่าในกองทัพเยอรมัน รถถังรุ่นนี้มีบทบาทอย่างมากในสมรภูมิแอฟริกา ภายใต้การนำของจอมพล เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) มันจะปรากฏอยู่ในแนวหน้าเสมอ สายการผลิตของ Panzer II ยังคงมีอยู่จนถึงปี 1943 ทั้งๆที่รถถังรุ่นนี้ล้าสมัยเกินไปแล้ว มันไม่สามารถหยุดยั้งรถถังรุ่นใหม่ของฝ่ายสัมพันธมิตรและรัสเซียได้อีกต่อไป ดังนั้นภารกิจของ Panzer II จึงเน้นในรูปของการลาดตระเวณหาข่าว ด้วยเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ (reliable) ความเร็วและความคล่องตัวสูง จำนวนที่ผลิตออกมาอย่างท่วมท้น ในช่วงปี 1940 – 1942 ซึ่งเป็นช่วงแห่งชัยชนะของนาซีเยอรมัน จึงทำให้รถถังรุ่oนี้ปรากฏอยู่ในแนวหน้ามาโดยตลอด
นอกจากข้อจำกัดเรื่องขนาดที่เล็กแล้ว อาวุธที่ติดตั้งกับรถถังรุ่นนี้ก็เป็นขีดจำกัดด้วยเช่นกัน มันถูกออกแบบให้ติดตั้งปืนใหญ่ขนาดเพียง 20 มม. ที่ไม่มีอำนาจหยุดยั้งรถถังของศัตรูได้ รวมทั้งมีเกราะที่บางเกินไป ที่จะป้องกันตัวเอง ต่อมาได้มีความพยายามนำตัวถังรถ Panzer II มาปรับปรุงด้วยการเป็นปืนใหญ่อัตตาจร ติดตั้งปืนใหญ่ 105 มม. ในชื่อใหม่คือ Marder II และ Wespe บางคันถูกนำมาปรับปรุงเป็นรถถังติดเครื่องพ่นไฟในชื่อ Flamingo หรือไม่ก็ถูกดัดแปลงให้เป็นรถวางสะพานของทหารช่างเยอรมัน
บทบาทของ Panzer II เป็นตัวอย่างที่ดีของความชาญฉลาดของนาซีเยอรมัน ที่สามารถนำยานเกราะที่ล้าสมัย มาดัดแปลง และคงบทบาทที่สำคัญในแนวหน้า จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
